กองทัพรุกคืบยึดกลไกอำนาจรัฐ
กองทัพรุกคืบยึดกลไกอำนาจรัฐ : ขยายปมร้อน โดยศรุติ ศรุตา-ทีมข่าวความมั่นคง
สถานการณ์เมื่อถึงวันนี้ ก้าวย่างของกองทัพเป็นช่วงที่ต้องจับตามอง เพราะถือว่า ได้เข้ามา “บริหารจัดการ” หน่วยงานที่คุมด้านความมั่นคงแทบจะอย่างเต็มรูปแบบ
การเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่เริ่มและดำเนินมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนั้น ฝ่ายรัฐบาลเอง โดยเฉพาะรักษาการนายกฯ ทำได้เพียงแค่ “รับรู้” โดยไม่อาจแข็งขืน
ก่อนหน้านี้เครื่องมือของรัฐบาลขับเคลื่อผ่าน ศรส. โดยมี ดีเอสไอ ตำรวจ เป็นกลไกหลัก
แต่ที่ผ่านมา อำนาจของ ศรส.เหมือนถูก “บอนไซ” โดยดูจากการขอหมายจับแกนนำ กปปส.และอายัดท่อน้ำเลี้ยง ถูก “ริบ” ไปเสียหมดภายหลังศาลแพ่ง ที่แม้จะให้บังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็ริบอำนาจด้วยข้อห้ามทั้ง 9 ข้อ หรือจะเป็น ศาลอาญา ที่แม้จะอนุมัติหมายจับไปก่อนหน้า แต่สุดท้ายก็สั่งการให้ปล่อยแกนนำผู้ชุมนุม
ช่วงก่อนหน้านี้ จึงมีเพียง ตำรวจ ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธที่ถูกกฎหมายค้ำยันรัฐบาลในพื้นที่ที่ประกาศภาวะฉุกเฉิน
แต่เหตุการณ์ขอคืนพื้นที่ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ กำลังของตำรวจก็ต้องกระเจิงออกมา เพราะมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงขับไล่จนหนีแทบไม่ทัน เพราะอยู่ในชัยภูมิที่เสียเปรียบเกือบ 100%
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อขวัญและกำลังใจของตำรวจ โดยเฉพาะชั้นผู้น้อย ที่ส่วนหนึ่งยังเชื่อว่า กำลังที่มีอยู่เพียงพอที่จะสลายการชุมนุม เพียงแต่การวางแผนของ “นาย” จะต้องรัดกุมให้มากกว่านี้ เพื่อรักษาชีวิตผู้ใต้บังคับบัญชา
หลังจากนั้นก็มีกระแสข่าวว่า ระดับยอดสุดของสีกากีได้มีการหารือกับขุนทัพและมีความเห็นสอดคล้องกันไปแล้วว่า “อะไรเป็นอะไร” และเป็นช่วงเดียวกันกับการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงที่เริ่ม “แรง” ทั้งในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน และนั่นก็เป็นที่มาของการแถลงจุดยืนของเหล่าทัพ
ถัดมาเพียงวันเดียว โฆษก กอ.รมน.แถลงอ้างคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐษนะ รอง ผอ.รมน.สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะ ผอ.รมน.จังหวัด ประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวของมวลชนในพื้นที่ จากนั้นให้รายงานมายัง กอ.รมน. โดยอ้างว่า เรื่องนี้รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะ ผอ.รมน.รับรู้แล้ว
ถัดมาวันเดียวก็มีคำสั่งให้ “แม่ทัพภาค” เรียกประชุมผู้ว่าฯ ในฐานะ ผอ.รมน.จังหวัด เพื่อประเมินสถานการณ์การเคลื่อนไหวของมวลชน จากนั้นให้รายงานมายัง กอ.รมน.
ก็ยิ่งชัดเจนว่า ให้ผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายปกครอง แม้อยู่ในอำนาจการบังคับบัญชาของรัฐบาลรักษาการ นับจากนี้ไปหากมีเรื่องที่เกี่ยวกับ “ความมั่นคง” จะต้องรายงานตรงต่อ กอ.รมน.
แล้วก็ให้เผอิญว่า ความ “แรง” ของมวลชน จะเป็นคนเสื้อแดงหรือไม่ ยังต้องพิสูจน์ทราบ แต่ดันแหลมออกมาในประเด็นของการแบ่งแยกดินแดน อันเป็นการกระทำที่อาจจะผิดกฎหมายอาญา มาตรา 113 และอาจผิด มาตรา 114 หากว่ามีการซ่องสุมกองกำลัง
ดูเหมือนสถานการณ์รัฐบาลกำลังจะเดินเข้าตาจน อย่างที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศบนเวที กปปส.ว่า ไม่ลาออก ก็ค้องติดคุก ไปแล้วจริงๆ
นั่นก็เพราะ นับจากนี้ไปรักษาการนายกฯ จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะกรณีจำนำข้าว และคดีความอื่นๆ ที่จะตามมาอีกเป็นระลอกๆ
ขณะที่ กปปส.เองก็เดินหมากใหม่ ด้วยการยุบรวมเวทีเหลือที่สวนลุมพินีเพียงแห่งเดียว โดยอ้างทั้งเรื่องนักธุรกิจ การรักษาความปลอดภัย และที่ว่า ภายหลังชัตดาวน์กรุงเทพฯ ไป 49 วัน ทำให้รัฐบาลนี้ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ นับได้ว่า เป็น fail government แล้วอย่างแท้จริง
หากแต่ในทางลับนั้น ระบุว่า เบื้องหลังการยุบรวมเวทีครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ “เงื่อนไขในการเจรจา” ระหว่างฝ่ายความมั่นคงกับแกนนำ กปปส. ที่จะต้องแสดงท่าที่ให้ฝ่ายรักษาการรัฐบาลเห็น โดยมีระดับบิ๊กสีกากีร่วมสนทนา และให้คำมั่นสัญญาในการดูแลความปลอดภัย
เหตุผลที่ทำให้ กปปส.ลดความแรงลงไปก็คือ คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ไปตกใส่ ทำให้สองพี่น้องวัยไม่ถึง 10 ขวบ เสียชีวิต ทำให้ต่างประเทศ โดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติ และรมว.ต่างประเทศสหรัฐ ออกมาแถลงประณามการกระทำดังกล่าว โดยในส่วนของ กปปส.ก็ไม่มีเหตุผลพอด้วยเช่นกันที่จะกระจายการชุมนุมปิดล้อมกรุงเทพฯ ในขณะที่รักษาการนายกฯ ก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่เมืองหลวง
แต่การชุมนุมที่สวนลุมพินี ซึ่งล้อมรอบด้วยตึกสูง แม้พื้นที่สวนลุมฯ จะกว้างขวางถึง 360 ไร่ แต่ก็ไม่พ้นรัศมีทำการของเอ็ม 79 อยู่ดี การรับประกันของผู้ที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเดินตามข้อเสนอ
ในขณะเดียวกัน ก็มีการเพิ่มจุดตรวจและเพิ่มกำลังทหารในจุดตรวจร่วม จากเดิม 88 จุด ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เรียกได้ว่า เมืองหลวงเต็มพรืดไปด้วยด่านตรวจของกองทัพ ยังไม่นับรวม “จุดสูงข่ม” ตามอาคารต่างๆ
สถานการณ์บ้านเมืองเดินมาถึงจุดนี้ เรียกได้ว่า แม้กองทัพจะไม่ได้เข้ายึดอำนาจ แต่การจัดวางกำลังตามอำนาจที่กฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการ เรียกได้ว่า มายืนอยู่ “เบื้องหน้า” ไปแล้ว ก็ทำให้รัฐบาลรักษาการแทบจะมีสภาพง่อยเปลี้ยเสียขาไปแล้ว
You must be logged in to post a comment.